เข้าระบบ

ชื่อผู้ใช้

รหัสผ่าน

  ล ง ท ะ เ บี ย น  

รัชนี

รัชนี的บล๊อก

รัชนี的主頁 | ดูทั้งหมด

คุณเพชรา เชาวราษฎร์ เพชรน้ำเอกวงการหนังไท

2009-10-02 23:17
 
 

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
.....

เพชรา เชาวราษฎร์ เพชรน้ำเอกวงการหนังไทย....

เธอคือหนึ่งในสยามผู้นามกะฉ่อนเป็นที่รู้จักใครต่อใครเกรียวกล่าวไปหมด ไม่มีวันอับแสงแต่จะประดับบนฝากฟ้านิจนิรันด์

 

 

 
รูปภาพดารา เพชรา เชาวราษฎร์

 
รูปภาพดารา มิตร  ชัยบัญชาและเพชรา เชาวราษฎร์

 
รูปภาพดารา เพชรา เชาวราษฎร์




เพชรา กับ สรพงษ์ เล่นหนังด้วยกันเป็นเรื่องแรก คือ ไอ้ขุนทอง และเป็นเรื่องสุดท้ายของเพชรา ก่อนหยุดแสดงไปเพราะสุขภาพด้านสายตา เรื่องนี้เพชรารับบทเป็นตัวนำเดินเรื่องตลอด แม้เป็นบทแม่พระเอก สรพงษ์ ส่วนนางเอกคือ ปิยะมาศ





         หากเอ่ยถึงไอดอลคนดังรุ่นเก่าที่เป็นตำนาน หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อราชาเพลงร็อกแอนด์โรลล์ "เอลวิส เพรสลีย์" แต่ถ้าเป็นเพลงลูกทุ่งไทย ก็ไม่มีใครทาบรัศมีราชินีลูกทุ่ง "พุ่มพวง ดวงจันทร์" และหากนึกถึงพระ-นางคู่ขวัญที่เป็นดาวค้างฟ้าก็เห็นจะมีแต่ "มิตร ชัยบัญชา" และ " เพชรา เชาวราษฎร์ "

        
....ที่ชวนมานึกย้อนวันวานกันอย่างนี้ เพราะล่าสุดอดีตนางเอกนัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง เพชรา เชาวราษฎร์ ตัดสินใจหวนสู่วงการบันเทิงอีกครั้ง หลังจาก เพชรา เชาวราษฎร์ เงียบหายไปจากวงการบันเทิงยาวนาวกว่า 30 ปี ด้วยการรับคำเชิญเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เครื่องสำอางชื่อดังยี่ห้อหนึ่ง โดยโฆษณาดังกล่าวออกอากาศแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับความสนใจและเป็นที่ฮือฮาเป็นอย่างมาก ดังนั้นวันนี้กระปุกดอทคอมจึงไม่พลาดที่จะพาไปเจาะลึกชีวิต เพชรา เชาวราษฎร์ เพชรน้ำเอกของวงการบันเทิงไทยคนนี้กันค่ะ

         เพชรา เชาวราษฎร์ หรือ "คุณอี๊ด" มีชื่อจริงนามสกุลจริงว่า "เอก เชาวราษฎร์" เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2486 ปัจจุบันอายุ 66 ปี เป็นชาวจังหวัดระยอง มีพี่น้องทั้งหมด 7 คน โดย เพชรา เชาวราษฎร์ เป็นคนที่ 4 เพชรา เชาวราษฎร์ ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์ หลังจากที่ชนะการประกวดธิดาเมษาฮาวาย เมื่อปี พ.ศ.2504 จากการชักชวนของ ศิริ ศิริจินดา แห่งบริษัทจินดาวรรณภาพยนตร์ และดอกดิน กัญญามาลย์ ทั้งนี้ ในปี พ.ศ.2505 เพชรา เชาวราษฎร์ ได้ประเดิมภาพยนตร์เรื่องแรก "บันทึกรักของพิมพ์ฉวี" คู่กับ มิตร ชัยบัญชา ขณะอายุได้ 19 ปี จากนั้นทั้งคู่ก็กลายเป็นดาราคู่ขวัญ สัญลักษณ์ของภาพยนตร์ไทยมาตลอดจนกระทั่งหยุดการแสดงในปี   พ.ศ.2521 หลังจากชีวิตต้องตกอยู่ในโลกมืด!!!

         "ที่มีคนพูดกันว่า ดิฉันหยอดตาเพื่อให้ตาหวานตาสวย คิดดูสิว่า เล่นหนังมากี่เรื่องล่ะ คงจะหยอดตามาตลอด...ตาจึงมีปัญหาอย่างนี้ แต่นั่นไม่เป็นความจริงเลยค่ะ สาเหตุเป็นเพราะดิฉันร้องไห้เยอะ ไม่ได้พักดวงตา และขับรถเองตลอด ประกอบกับสมัยนั้น ถ่ายหนังต้องใช้ไฟแรง หรือใช้รีเฟล็กซ์เยอะ ช่วงหลัง ๆ เมื่อปี 2513 ดิฉันเริ่มแสบตา ถูกแอร์รถยนต์ก็แสบ แต่ดิฉันก็ยังขับรถไปถ่ายหนังต่างจังหวัดเอง และอดทนแสดงภาพยนตร์จนถึงเรื่องสุดท้ายคือ "ไอ้ขุนทอง" เข้าฉายในปี 2520" 

         เมื่อดวงตาเริ่มมีปัญหา ใช่ว่า เพชรา เชาวราษฎร์ จะละเลยรักษาดูแล แต่ด้วยภาระงานที่ไม่อาจเลี่ยงได้จึงส่งผลให้การไปหาหมอของ เพชรา เชาวราษฎร์ ไม่สม่ำเสมอ เธอเล่าว่าพออาการเริ่มหนักขึ้น ถึงกับเคยขับรถปีนเกาะกลางถนนหลายครั้ง และเมื่อเข้าขั้นวิกฤต เพชรา เชาวราษฎร์ ก็พยายามรักษาทุกวิถีทาง กระทั่งแพ้ยาจนตัวบวม น้ำหนักเพิ่ม จาก 47-48 กิโลกรัม มาหนัก 60 กว่ากิโลกรัม 

         "ต้องซื้อเสื้อผ้าคนท้องมาใส่ ผมร่วงหมดศีรษะ ฝ้าขึ้นดำไปทั้งหน้าทั้งตัว จนคนที่รู้จัก เพชรา เชาวราษฎร์ จำไม่ได้ เมื่อตัวบวมมากๆ ก็หายใจไม่ออก กลืนน้ำก็ไม่ได้ ต้องเข้าไปนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล หมอบอกว่า ช่วงนั้นไตหยุดทำงาน พิษยาจึงคั่งค้างทำให้ตัวบวม ต้องรอให้พิษยาลดลง จากที่เคยสวมแว่นดำและนั่งแท็กซี่ไปไหนมาไหนได้เอง ตอนหลังก็มองไม่เห็น ออกไปไหนคนเดียวไม่ได้แล้ว!!"

          แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้รุนแรงต่อจิตใจของผู้หญิงสวยคนหนึ่ง จนยากเกินยอมรับและทำใจได้ เพชรา เชาวราษฎร์ ตัดสินใจตัดขาดจากวงการภาพยนตร์ เพื่อมุ่งรักษาดวงตาของตัวเองกว่า 16-17 ปี แต่นั่นก็ไม่ทำให้ เพชรา เชาวราษฎร์ กลับมามองเห็นโลกสีสวยใบนี้ได้อีก แม้กระทั่งการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดในรายการ วู้ดดี้เกิดมา เพชรา เชาวราษฎร์ ก็ยังคงไม่เปิดเผยหน้าตาออกสื่อให้ใครได้เห็น โดยบอกว่าไม่อยากให้คนอื่นเห็นเธอ ขณะที่เธอไม่สามารถมองเห็นคนอื่น

         "ปัจจุบันดิฉันปิดบ้าน ไม่ออกไปไหน ไม่ให้ใครเห็น เพราะดิฉันทำใจไม่ได้ ยอมรับตัวเองไม่ได้ พอนึกถึงคำว่า    " เพชราตาบอด " ขึ้นมาครั้งใด น้ำตาจะไหลพรากทุกครั้งใช้เวลาทำใจอยู่หลายปี แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังอยากกลับมามองเห็นเหมือนเดิม อยากดูเบอร์โทรศัพท์เอง อยากเห็นสีสัน อยากขับรถเอง อยากตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง" อดีตนางเอกขวัญใจผู้ชมชาวไทยเล่าถึงความทุกข์ที่ต้องผจญกับโลกมืด

         ด้านชีวิตส่วนตัว เพชรา เชาวราษฎร์ สมรสกับ ชรินทร์ นันทนาคร ศิลปินนักร้อง นักแสดง ผู้กำกับภาพยนตร์ ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2541 ที่ถึงแม้ตอนนี้นัยน์ตาเพชราจะบอดสนิท แต่ ชรินทร์ ก็ยังคงอยู่ดูแลเป็นคู่ชีวิตจนถึงทุกวันนี้

         ด้านผลงานในวงการอาจเรียกได้ว่า เพชรา เชาวราษฎร์ เป็นนางเอกต้นแบบของวงการหนังไทย เธอมีผลงานในฐานะเป็นนางเอกหรือผู้แสดงนำกว่า 300 เรื่อง ตลอดช่วงเวลาเกือบ 20 ปีในอาชีพนักแสดง

         "สมัยนั้น แสดงภาพยนตร์เรื่องแรกได้รับค่าตัว 3 พันบาท และเคยได้ค่าตัวสูงสุด 5 หมื่นบาท ช่วงที่เข้าวงการใหม่ ๆ ดิฉันอดนอนไม่เป็น พอถ่ายหนังไปถึงเที่ยงคืนก็ง่วง พูดไม่รู้เรื่องแล้ว...ช่วงที่มีงานเยอะ ดิฉันถ่ายหนังทุกวัน วันละ 2 เรื่อง ถ่ายทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่เคยเล่นตัวเลยค่ะ แต่งานเยอะมากจนไม่มีเวลาจริง ๆ แม้แต่เวลาพักผ่อนยังไม่มี" เพชรา เชาวราษฎร์ เล่าถึงงานที่รักในอดีต

         ส่วนการที่ เพชรา เชาวราษฎร์ ยอมกลับมารับงานในวงการบันเทิงอีกนั้น คุณชรินทร์ ผู้เป็นสามี เฉลยว่าแรงจูงใจสำคัญที่สุด  เห็นจะเป็นการที่บริษัทเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่งที่ติดต่อ เพชรา เชาวราษฎร์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ บอกว่าจะนำรายได้ที่ได้ไปมอบให้แก่มูลนิธิคนตาบอด เธอจึงตอบตกลงอย่างไม่ยากเย็นนัก เนื่องจาก เพชรา เชาวราษฎร์ เคยมีความตั้งใจอยากตั้งมูลนิธิดวงตา แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เลยค้างคาใจมาตลอด ประกอบกับหลายคนก็ถามถึงมูลนิธิดังกล่าว เมื่อบริษัทเครื่องสำอางมาเสนอ และโดนใจ เพชรา เชาวราษฎร์ จึงคิดว่าน่าจะออกมาทำอะไรบ้างในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่

        
และวันนี้ เพชรา เชาวราษฎร์ ปรากฎตัวอีกครั้ง พร้อม ๆ กับคำชื่นชมมากมายก่ายกองทั้งจากคนรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากาลเวลาไม่ได้พรากความงามของเพชรน้ำเอกวงการหนังไทยคนนี้ไปเลย

ขอบคุณที่มาข้อมูลhilight.kapook.com/view/3

คลิกฟังทีละเพลงนะคะ....

link: 

 http://charyen.com/jukebox/play.php?id=5180

                                                                 

                                                                               

                                                     

ดาวค้างฟ้า...คุณเพชรา...กับภาพปัจจุบัน.. 

       


คลิปเพชรา ถ่ายโฆษณายี่ห้อดัง

ขอบคุณที่มาwomen.kapook.com/view5262.html

                                                                                              

                                                                                 ขอบคุณที่มาwww.bloggang.com/sutida jeaw

แชร์ 2183 ดู | 0 ความเห็น

Footprints

ความเห็น