จากคุ้มเจ้า สู่เรือนจำ และสวนสาธารณะ
2012-10-15 11:04 |
คุ้มหลวงเวียงแก้ว เป็นคุ้มหลวงแห่งนครล้านนา ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากาวิละ[1] ต่อมาพื้นที่ดังกล่าวถูกปรับสภาพเป็นคุก ในสมัยพระยานริศราชกิจ
(สาย โชติกเสถียร) จนกระทั่งกลายเป็นทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ในปัจจุบัน
ต่อมาในช่วงปี พ.ศ. 2529 ได้เริ่มมีแนวคิดในการปรับพื้นที่ดังกล่าวให้เป็นสวนสาธารณะ
เนื่องจากเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของคุ้มหลวง (พระราชวัง) ของนครล้านนา
ต่อมาปี พ.ศ. 2532 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ย้ายทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ไปตั้งอยู่นอกเมือง
และให้ใช้พื้นที่เดิมนี้ สร้างเป็นพื้นที่อนุรักษ์เพื่อส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทย
กระทั่งในปีพ.ศ. 2544 เทศบาลนครเชียงใหม่ จึงได้ขออนุญาตเข้ามาดำเนินการ[2]
ข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/คุ้มหลวงเวียงแก้ว
เปลี่ยนคุก ...ให้เป็นมากกว่าสวนได้ไหม ? ยังไม่มีข้อสรุปใดใดออกมาจากการเสวนา ?จากคุกสู่สวน...ควรเป็นอย่างไร ?? ว่าจะทำอย่างไร กับพื้นที่ 17 ไร่ทัณฑสถานหญิงที่ตั้งอยู่กลางเวียงเชียงใหม่ดี แต่ข้อถกเถียงวงเสวนา ได้สะท้อนแนวคิดความต้องการของคนเชียงใหม่กลุ่มหนึ่งต่อการจัดการพื้นที่นี้ ในอนาคต โดยเฉพาะสาระสำคัญหนึ่งที่เห็นว่า ไม่ควรที่จะจำนนอยู่เพียงโจทย์เดิมที่ว่า จากคุกแล้วต้องมาเป็นสวนได้หรือไม่ ในเมื่อพื้นที่นี้มีคุณค่าอันซ้อนทับทางประวัติศาสตร์หลายยุคสมัย ย่อมควรจะต้องมีข้อเสนอหรือทางเลือกที่มากมายต่ออนาคต มิใช่หรือ ? หลังกำแพงแน่นหนาสีครีมและขดลวดหนามรายล้อม ปัจจุบันทัณฑสถานแห่งนี้กักขังอิสระของนักโทษหญิงไว้ทั้งสิ้น 1,391 คน น้อยคนนักที่จะรับรู้ความเป็นไปด้านใน และแทบไม่เคยรู้เลยว่าสิ่งปลูกสร้างที่ผ่านกาลเวลามากว่า 106 ปีนั้น มีแง่มุมอดีตเช่นไรบ้างที่ซุกซ่อน หลงเหลืออยู่บ้าง แต่ไม่เกินกลางปี 2552 ทัณฑสถานหญิงแห่งนี้จะต้องถูกเปิดออกปรากฏต่อสายตา เพราะต้องย้ายทุกสิ่งอย่างไปอยู่ที่เรือนจำกลางข้างศาลากลางเชียงใหม่ ข ณะที่นักโทษชายจากเรือนจำกลางนั้นจะย้ายไปอยู่เรือนจำใหม่ที่อำเภอแม่แตงแทน การย้ายนี้เป็นไปตามแผนการใช้ที่ดินของจังหวัดเชียงใหม่ ที่กำหนดให้เขตเมืองเก่าเป็นพื้นที่ที่สมควรอนุรักษ์ หากกิจกรรมของหน่วยงานใดขัดแย้งกับนโยบายอนุรักษ์นี้ ก็ต้องย้ายไปอยู่นอกเขตคูเมือง นี่เองจึงเป็นที่มาให้ศาลากลางหลังเก่าต้องย้ายออกให้อาคารเดิมกลายเป็นหอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ บ้านพักอัยการก็ย้ายออกปรับปรุงเป็นหอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ ศาลแขวงก็ย้ายออกปรับปรุงให้เป็นหอศิลปะล้านนา และล่าสุดทัณฑสถานหญิงที่จะย้ายออกไปและแผนงานที่กำหนดไว้ของเทศบาลนครเชียงใหม่คือให้เป็นสวนสาธารณะ
แต่ปรากฏว่า เวทีเสวนา ?จากคุกเป็นสวน ควรเป็นอย่างไร?? กลับไม่มีการลงรายละเอียดว่าควรจะเป็นสวนอย่างไรกันมากนัก แต่มีข้อเสนอให้เปิดทางเลือกใหม่ที่กว้างขึ้นกว่าการจะล็อคความคิดกันอยู่แค่เพียงการเป็นสวน การเสวนาจากคุกเป็นสวนควรเป็นอย่างไร (จากซ้าย) บางอ้อ - สมโชติ อ๋องสกุล - อินสม ปัญญาโสภา - บุญเสริม สาตราภัย - วิจิตร ไชยวัณณ์ ก่อนทำบนดินต้องศึกษาใต้ดิน
อมูลประวัติทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ระบุว่าพื้นที่นี้เคยเป็นที่ตั้งพระราชวังของพระมหากษัตริย์อาณาจักรล้านนาในอดีต เรียกว่า เวียงแก้ว คาดว่าเป็นพระราชวังที่ประทับของพญามังราย ผู้ทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ แผนที่ของกระทรวงมหาดไทย แผนกก่อสร้างสมัยรัชกาลที่ 5 หรือราว 100 ปีที่ผ่านมา ก็มีการระบุถึงพื้นที่กลางเวียงเชียงใหม่โดยเฉพาะเขตที่เป็น ?เวียงแก้ว? อาจารย์สมโชติ อ๋องสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ล้านนา กล่าวว่า การจะดำเนินการต่อไปในพื้นที่นี้ จะต้องเริ่มต้นที่หลักฐานประวัติศาสตร์อย่างน้อย 3 อย่างที่ปรากฏอยู่คือ 1.ที่บริเวณนี้มีซุ้มประตูโขงข้างคุกที่เก่าแก่ มีลายปูนปั้นงดงามแบบเดียวกันกับซุ้มประตูโขงวัดเจ็ดยอดซึ่งสร้างสมัยพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ.1984-2030) ส่วนล่างมีลายปูนปั้นรูปสิงห์สวยงามถูกทอดทิ้งเอาไว้ รวมทั้งศาลเจ้าพ่อข้อมือเหล็ก 2.แผนที่กลางเวียงในยุค ร.5 หรือเมื่อ 100 ปีที่แล้วที่มีที่ดินระบุชื่อเจ้าของเป็นรายแปลง สันนิษฐานว่าเป็นของเจ้าหลวง 3 องค์ คือเจ้ากาวิละ เจ้าธัมมลังกา เจ้าเศรษฐีคำฝั้น และสันนิษฐานว่าเมื่อ พ.ศ. 2339 ที่พญากาวิละเข้ามาฟื้นเมืองเชียงใหม่ ก็ได้เริ่มใช้พื้นที่ตรงนั้นเป็นเวียงแก้ว 3. ภาพหลักฐานตัวสถาปัตยกรรมคุ้มเวียงแก้วที่งดงาม และคุ้มหลายคุ้มในเขตเวียงแก้วนี้ได้ถูกรื้อเพื่อสร้างเป็นศูนย์ราชการในยุคสยามเปลี่ยนการปกครองเป็นเทศาภิบาล
อาจารย์สมโชติ ยังได้นำรูปแบบการย้านคุกของเรือนจำอยุธยามาแสดงว่า ยังรักษาสัญลักษณ์คุกบางส่วนไว้ คือป้อมยามและกำแพงบางช่วง แต่มีการเปิดพื้นที่ด้านในซึ่งเป็นวัดเก่าแก่โบราณและบูรณะ
?กรณีคุกเชียงใหม่ ผมจึงยังไม่อยากให้ฟันธงว่าจากคุกเป็นสวนแล้วจบลงที่จะเอาสวนแบบไหนกัน หลักฐานขณะนี้เรามีคุกบนดิน ใต้ดินก็มีความซับซ้อนแห่งยุคสมัย 700 ปี ที่จะเป็นการดึงดูดการให้ความรู้ต่อยอดทุนทางประวัติศาสตร์ต่อไปได้ในอนาคต?
แผนที่สมัยรัชกาลที่ 5 ในพื้นที่กลางเวียงเชียงใหม่ คุกในคุ้ม-คุ้มในคุก
อาจารย์สมโชติกล่าวว่า ปกติทุกคุ้มใหญ่ของล้านนาจะมีคุกอยู่ในคุ้มทั้งสิ้น เช่น คุกที่คุ้มเจ้าอุปราช ที่ปัจจุบันคือโรงพักกองเมือง คุกที่คุ้มเจ้าบุรีรัตน์กลางเวียง เมื่อมีการตัดสินคดีเสร็จนักโทษจะข้าคุก ถ้าโชคดีเจ้านายบวช เจ้านายทำบุญ คนในคุกก็ได้รับอภัยโทษ แต่เมื่อปี 2416 เรามีสัญญาเชียงใหม่ฉบับที่ 1 เริ่มที่จะมีปัญหาจัดการคุก ให้มีประสิทธิภาพ ราชการสยามซึ่งเดิมอยู่ทางริมแม่น้ำปิง จึงขอพื้นที่จากเจ้าหลวงทำศูนย์ราชการในกลางเวียง รวมทั้งคุก จึงมีการรื้อคุ้มสร้างคุกอย่างสมบูรณ์แบบมาตามลำดับ สวนสาธารณะเต็มเมือง ขอใช้พื้นที่ผสมผสาน
ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า คุกแห่งนี้ก็เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ล้านนา แม้น้อยคนนักจะได้เห็นด้านใน แต่ก็ปรากฏอยู่เป็นอาคารที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 อายุประมาณ 106 ปีรวมทั้งสิ้น 6 หลัง เป็นลักษณะอาคาร 2 ชั้น ก่ออิฐหนา ในจำนวนนี้ 2 อาคารอยู่บริเวณทางเข้าด้านหน้า ซึ่งมีประตูทางเข้าผ่านกลางตึก และอยู่บริเวณด้านหลัง มีประตูทางออกผ่านกลางอาคาร ซึ่งปัจจุบันได้ปิดไว้ไม่ใช้งาน ส่วนอีก 4 อาคาร เป็นอาคาร 2 ชั้น เป็นที่พักผู้ต้องขัง ลักษณะอาคารก่ออิฐทึบมีประตูและช่องแสง
หลักฐานภาพถ่ายคุ้มเวียงแก้วในอดีต อินสม ปัญญาโสภา บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ กล่าวว่า อดีตผอ.ทัณสถานหญิงได้เคยบอกว่า ด้านในมีคุกสำหรับขังนักโทษขังเดี่ยวที่เป็นนักโทษผู้ชาย 5 ห้อง และยังมีคุกมืดใต้ดินที่อนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี มีอาคารที่เก่าแก่อายุอายุกว่า 100 ปี สวยงาม ถ้าอนุรักษ์ไว้แล้วเปิดให้คนเข้าไปชม คิดว่าได้เงินมากเหมือนคุกอิตาลี ที่ท่านไปชมมา แต่เมื่อตนก็ได้นำความเห็นนี้ไปสอบถามอาจารย์ธเนศวร์ เจริญเมือง ก็แสดงความรู้สึกว่าไม่ควรอนุรักษ์ไว้ เพราะที่นั่นเป็นคุ้มเจ้าหลวงมาก่อน และเหตุผลในอดีตผู้มีอำนาจขยายอาณาเขตเข้ามาครอบครองพื้นที่ในภาคเหนือ ใช้ที่คุ้มเจ้าหลวงเป็นคุกขังคน เหตุผลก็คือว่าต้องการตัดไม้ข่มนามและเห็นว่าควรเปิดพื้นที่เป็นสวนสาธารณะสำหรับประชาชน
ส่วนกรณีจะสร้างสวนอย่างไรให้เป็นประโยชน์ อินสมเห็นว่าปัจจุบันสาวนสาธารณะในเมืองเชียงใหม่มีมากมาย แต่ไม่ค่อยมีใครไปใช้ประโยชน์เต็มที่ ดังนั้นการจะใช้พื้นที่คุกนี้นั้น ที่สุดแล้วประวัติศาสตร์ก็เป็นประวัติศาสตร์ แต่ประวัติศาสตร์บางทีก็เป็นแค่ประวัติศาสตร์ สิ่งที่ปรากฏร่องรอยไม่เห็นแล้ว ความเห็นส่วนตัวอยากให้ผสมผสาน อนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ ส่วนหนึ่งเป็นสาธารณะประโยชน์ ทุกคนเข้าไปใช้ได้ ศาลใกล้ซุ้มประตูโขง คุกใต้ดินแห่งเดียวจริงหรือ ?
?บางอ้อ?ในฐานะผู้ดำเนินรายการให้ข้อมูลต่อวงเสวนาเพิ่มเติมว่า ได้สัมภาษณ์ สหวัฒน์ แน่นหนา ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ ถึงประเด็นที่มีการระบุว่ามีคุกใต้ดินแห่งเดียวนั้น จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่า ใช่จริงหรือ เนื่องจากเคยมีผู้รับเหมาซ่อมแซมอาคารทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่นี้เคยเล่าให้ฟังว่า ฐานของเรือนนอน 3 และ 4 นั้น ปรากฏฐานลักษณะก่ออิฐเป็นวงกลมเป็นแนวอุโมงค์ยาว ซึ่งใช้เป็นตัวระบายอากาศฯ และรับน้ำหนักด้วย แต่ในการซ่อมแซมครั้งนั้นได้มีการวางตอม่อนบางจุด ซึ่งไม่สามารถเดินทะลุอุโมงค์นั้นได้แล้ว ดังนั้นน่าจะได้มีการสำรวจ ค้นคว้าและพิสูจน์ดูว่าลักษณะโครงสร้างอาคารเช่นนี้เป็นอุโมงค์ระบายอากาศหรือคุกใต้ดินกันแน่ เพราะขณะนี้ไม่มีใครทราบว่าคืออะไร
ส่วนความเห็นต่อการพัฒนาพื้นที่นี้นั้น นายสหวัฒน์บอกว่า อย่างไรเสีย พื้นที่แห่งนี้ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ อย่างชัดเจน การคงไว้ซึ่งอาคารบางส่วน หรือป้อมปราการ และใส่เรื่องราว ข้อมูลพัฒนาการของพื้นที่แห่งนี้ไว้เพื่อให้ คนรุ่นหลังได้รับรู้ และที่เหลืออาจทำเป็นโมเดลจำลองให้เห็นถึงสภาพที่เคยเป็น และสภาพก่อนหน้านี้ก็ได้ เพราะหากรื้อทิ้งเสียหมดแล้วคนรุ่นอื่นๆ จะเห็นของจริงจากที่ใดว่าพื้นที่นี้เคยเป็นคุก นอกจากจะเห็นภาพถ่ายเท่านั้น
ส่วนข้อเสนอให้รื้อทิ้งทั้งหมด ด้วยมองว่าสิ่งนี้แสดงถึงการย่ำยีคนเมือง เพราะสยามเข้ามามีบทบาทเหนือเชียงใหม่นั้น เขามองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคือพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการแสดงออกถึงอำนาจอีกขั้วหนึ่ง ในอดีต แต่อย่างไรก็เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญปัจจุบันสยามและล้านนาก็ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ทำอะไรต้องคำนึงถึงที่มาของพื้นที ่
บุญเสริม ศาตราภัย ช่างภาพชื่อดังของล้านนาจากหนังสือพิมพ์คนเมืองในอดีต กล่าวว่า สิ่งที่เราต้องคำนึงถึง ในการเปลี่ยนแปลงใดใดนั้นคือที่มาของพื้นที่ด้วย เมื่อ 2520 ผมทำงานหนังสือพิมพ์คนเมือง เราได้ข่าวทายาทตระกูล ณ เชียงใหม่ ทวงพื้นที่ศาลากลางจังหวัดคืน หลังจากที่ทางการจะเลิกใช้ศาลากลางหลังเก่าอันนี้ เพื่อไปสร้างที่ใหม่ ผมรู้จักกับเจ้านายฝ่ายเหนือคนหนึ่งซึ่งสนิทสนมกันมาก แกเรียกผมไปพบที่บ้านเอาสำเนาหนังสือ เขียนถึงพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ นายกรัฐมนตรี ขอทวงพื้นที่ศาลากลางคืนเพื่อที่จะนำไปทำประโยชน์ เป็นสมาคมนักเรียน นักศึกษา ดารารัศมี โดยมีหอประชุมอินทวโรรสอยู่ตรงกลางในบริเวณนี้ เพราะเห็นว่าบรรพบุรษ ได้ยกที่ให้เป็นสถานที่ราชการหลายแห่ง เมื่อไม่ใช้ประโยชน์แล้วก็ขอคืน เจ้านายฝ่ายเหนือคนนี้แกบอกว่าน้อยใจ ที่ทางการไม่เอ่ยชื่อถึงเลย รื้อป้ายออกหมด? ซุ้มโขงที่อยู่ใกล้คุก ความเก่าแก่ในยุคติโลกราช ของโบราณทุบง่ายสร้างยาก
วิจิตร ไชยวัณณ์ อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คนเมือง กล่าวว่าในเมื่อรัฐต้องการคืนให้แก่พวกเรา ผมก็เห็นว่าเราน่าจะทำเป็นสวนหย่อม และเราควรจะรักษาตึกและเรือนจำต่างๆ แม้แต่คุกต่างๆ เอาไว้เพื่อความทรงจำ ทางประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านี้เมื่อทำลายไปแล้วจะสร้างขึ้นมาไม่ได้แล้ว ตามความเห็นของผมอยากให้รักษาไว้ ให้เป็นประวัติศาสตร์ สิ่งโบราณต่างๆ เราสามารถทุบทำลายภายใน 1-25 วันแต่เราสร้างไม่ได้ เช่นกรณี โบสถ์คริสจักรที่ 1 เชียงใหม่ คณะกรมการคริสเตียนเคยเห็นว่าโบสถ์สร้างติดถนน ริมน้ำปิงเกินไป สมควรรื้อออกไป มีการลงมติให้ย่น แต่ตนทราบว่าโบสถ์หลังนี้สร้างโดยหมอชิ๊กที่การก่อสร้างโบสถ์แห่งนี้ จะไม่ได้ใช้เสาเลย แต่ตั้งแวงและก่ออิฐขึ้นมาเลย จึงไปบอกนายแพทย์จินดา สิงหเนตร และบอกว่าควรจะอนุรักษ์ จึงมีการเปลี่ยนมติของกรรมการ ซึ่งปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบสถ์หลังนี้ว่าเป็นโบราณสถานห้ามรื้อถอน และเป็นหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์เชียงใหม่ ที่มีศาสนาคริสเตียนเข้ามา เมื่อเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งก็ควรที่จะรักษาไว้
คิดเพิ่มให้หลากหลายบนข้อมูลที่ชัดเจน
บัณรส บัวคลี่ ผู้ร่วมเสวนากล่าวว่า เรากำลังพูดคุยถึงเรื่องที่ดำเนินไปในส่วนราชการคือจะมีการคืนพื้นที่ จากกรมราชทัณฑ์ให้เทศบาลนครเชียงใหม่ และผู้บริหารเทศบาลยุคนั้นก็ตั้งโครงการมารองรับและคิดว่า จะให้เป็นสวนสาธารณะ แต่อะไรคือสิ่งที่คนเชียงใหม่อยากได้อย่างแท้จริง ควรได้พูดคุยให้หลากหลาย กว้างขวางกว่านี้
?ผมไม่กล้าที่จะระบุไปเลยว่าจะต้องเป็นอะไร อยากให้เป็นคุกหรือไม่ เพราะยังไม่มีใคร หรือคณะกรรมการใดเข้าไป ประเมินคุณค่าสิ่งปลูกสร้างอายุ 100 ปีในนั้นเลย เราเป็นเพียงคนนอกกำแพงคุก หรือเข้าไปเห็นมาบางครั้ง และยังไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ด้านในเป็นคุกใต้ดินจริงหรือ ผมจึงมีข้อเสนอไปยัง ผู้บริหารเทศบาลนครเชียงใหม่ว่า ควรจะเปิดรับฟังความเห็นเรื่องนี้ให้กว้างขวางมากที่สุดว่า เราจะได้ที่ดินมาเราจะทำอย่างไร มีทางเลือกอื่นอีกหรือไม่นอกจากสวน คุณค่าของพื้นที่นี้ มีหลายยุคหลายสมัยทับซ้อนกันอยู่ เลือกหยิบให้มาผสมผสานดีหรือไม่ หรือบางคนบอกว่าเป็นคุกสุดยอดแล้ว แต่แท้ที่จริงอาจเป็นเพียงแค่อาคารเปล่าๆ สู้คุกบางขวางไม่ได้ เราควรได้ระดมความเห็นให้มีทางเลือกให้มากกว่านี้?
ภายใต้กำแพงหนานี้มีประวัติศาสตร์ของเชียงใหม่ซุกซ่อนอยู่ทั้งบนดินและใต้ดิน ไม่เอาสวนไม่เอาคุกให้นึกถึงเยาวชน ผู้ร่วมเสวนาท่านหนึ่ง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้บริเวณเรือนจำเห็นว่าเยาวชนของจังหวัดเชียงใหม่ทุกวันนี้ขาดพื้นที่ จุดตรงที่ที่เป็นคุกที่จะพัฒนาขึ้นมาอยู่ใกล้โรงเรียน ใกล้แหล่งที่เยาวชนจะต้องชุมนุม น่าจะแบ่งโซนการใช้พื้นที่ ให้เป็นอะไรได้ทั้งนั้น สำคัญที่ว่าคือควรมองถึงเยาวชนเป็นหลักหรือไม่
?สำหรับผม สวนสาธารณะเลิกมองได้เลย เพราะเชียงใหม่เราทำสวนสาธารณะก็นึกแต่ต้นไม้ ดอกไม้ นึกแต่ความสวยงาม ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ เราควรมองหา ความยั่งยืนของสถานที่ เช่นสถานสุขภาพเพื่อออกกำลังกาย? ผสมผสานคุกในสวน
ว่าที่ร้อยตรีวินัย วินัยสถาพร ผู้ร่วมเสวนา กล่าวว่าเห็นว่าเทศบาลฯ น่าจะมีวิธีสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น โดยเห็นว่าน่าจะทำผสมผสาน เช่นคุกที่เป็นสวน บางคนให้อนุรักษ์คุกไว้ แต่คุกจะคุ้มค่าแก่การอนุรักษ์หรือไม่ เช่นนั้นเขาทำไมถึงย้ายคุกออกไปเล่า แต่หากบางคนอยากเห็นคุกก็จะน่าประชาพิจารณ์ทั้งคุกและสวน อย่ารีบร้อน ทั้งปี 52 น่าจะถามความเห็น คุ้มค่าแก่การเก็บไว้หรือไม่ ที่ไปเมืองนอก ของเขาอาจ 500 ปี แต่ของเรามันแค่ 100 ปี ก่อนจะทำต้องคิดให้ดี ผมอยากเห็นมีทั้งคุกและสวนอยู่ในนั้น อาจจะทุบกำแพงข้างในเป็นสวน เห็นโครงร่างของคุกไว้ก็ได้ ที่สำคัญน่าจะได้เปิดประชาพิจารณ์และออกแบบประกวด
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความคิดที่เกิดขึ้นในเวทีเสวนาแรก ที่ได้แตกแขนงความคิดออกไปไม่เพียงแต่การเป็นสวน ตามโจทย์เดิมอีกต่อไปแล้ว. ยังคงมีการเตรียมเปิดเวทีสาธารณะเช่นนี้อีกในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2551 (ยังไม่ได้กำหนดสถานที่) ระหว่างนี้ผู้มีความต้องการเสนอความคิดเห็นสามารถเสนอได้ที่ www.cmocity.com เขียนจดหมายหรือไปรษณียบัตร มายังคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม่ ถนนพระปกเกล้า ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 50200 หรือจะโทรสาร 0-58321-9833 และ 0-5321-7793 .
โดย บางอ้อ
ความเห็น